Pages

Monday, July 13, 2020

คอลัมน์การเมือง - ชลประทานภาคประชาชน - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

biasaajadongkeles.blogspot.com

ผมเคยเขียนเรื่องระบบชลประทาน การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม ไปแล้ว เพราะ 2 อย่างนี้เป็นสิ่งที่คู่กันกับประเทศไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ต้องช่วยทำให้ปัญหาเบาบางลง


น่าสนใจ คือ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เคยกล่าวไว้ว่า “การบริหารจัดการน้ำนั้น เราจะต้องมีน้ำ มีแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุน”

แหล่งน้ำต้นทุนก็คือ อ่างเก็บน้ำตลอดจนระบบส่งน้ำเข้าพื้นที่และระบบระบายน้ำในกรณีที่เกิดอุทกภัย ทุกวันนี้กว่าสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นมาได้แต่ละแห่งต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปีขึ้นไป บางแห่งอาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ปี ไม่ทันอกทันใจกับความต้องการของชุมชนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความต้องการใช้น้ำทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นทุกปี

ในขณะที่ นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ฝ่ายวิชาการ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านสิ่งแวดล้อมของกรมชลประทานได้กล่าวถึงการดำเนินงานของกรมในส่วนที่ต้องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอันเป็นปัจจัยในการดำเนินงานสร้างแหล่งน้ำต้นทุนว่า ในการจะสร้างแหล่งน้ำต้นทุนหรือระบบส่งน้ำระบายน้ำ กรมชลประทานจะต้องผ่านกระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่กำหนดขึ้นมาให้ทุกหน่วยงานที่จะสร้างโครงการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต้องปฏิบัติ

สำหรับแนวทางการศึกษาในการพัฒนาแหล่งน้ำนั้น ก่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการจัดสรรทรัพยากรน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ กรมชลประทานจะต้องศึกษาและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด จะต้องศึกษาทั้ง ด้านวิศวกรรม ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐศาสตร์และสังคม ที่สำคัญที่สุดคือ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในด้านวิศวกรรมนั้น จะต้องศึกษาความเหมาะสมทางโครงสร้างวิศวกรรมเพื่อพิจารณาทางเลือกในการพัฒนา โดยเปรียบเทียบประเภท ขนาดและตำแหน่ง บนพื้นฐานความเหมาะสมของสภาพภูมิประเทศและความต้องการน้ำในปัจจุบันและอนาคต

ส่วนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็จะต้องศึกษาสภาพปัจจุบันเพื่อประเมินผลกระทบทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณภาพชีวิต พร้อมมาตรการป้องกันแก้ไข ต้องมีการศึกษาในเรื่องของทรัพยากรดิน ธรณีวิทยาและการเกิดแผ่นดินไหว ศึกษาถึงนิเวศทางน้ำและประมง ต้องศึกษาด้านทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ศึกษาระบบชลประทานเพื่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน การบริหารจัดการน้ำในอนาคต ต้องศึกษาและเตรียมการเรื่องการชดเชยในกรณีมีผู้ได้รับผลกระทบ ต้องดูในด้านการสาธารณสุขและบริการ แหล่งโบราณสถานการส่งเสริมการเกษตร ตลอดจนมาตรการป้องกันแก้ไขและติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับการศึกษาในด้านเศรษฐศาสตร์และสังคมนั้น จะเป็นการวิเคราะห์ความเหมาะสมในเชิงเศรษฐกิจ โดยพิจารณาผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้มีส่วนได้เสียจากการพัฒนาโครงการ เป็นการศึกษาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับ

ที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ต้องให้โอกาสประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมเสนอแนะและร่วมในการตัดสินใจ โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็น พร้อมสอบถามผู้ได้รับผลกระทบ 100% เช่น การจัดการประชุม ปฐมนิเทศ และปัจฉิมนิเทศ การสอบถามผ่านการสัมภาษณ์ผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด

นายเฉลิมเกียรติกล่าวว่า ในกระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น กรมชลประทานให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากที่สุดโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่จะสร้างแหล่งน้ำต้นทุน ถ้าหากประชาชนไม่ยอมรับ ไม่ว่าผลศึกษาในอีก 3 ด้านจะเหมาะสมแค่ไหน กรมชลประทานก็ไม่สามารถจะดำเนินการได้

“การจะบริหารจัดการน้ำให้ยั่งยืน อันดับแรกเราต้องดูวัตถุประสงค์ของประชาชนก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเดือดร้อนที่เกิดจากน้ำท่วม หรือว่าภัยแล้งดูผลกระทบที่เกิดทั้งภาคการเกษตร การอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งการรักษาระบบนิเวศวิทยา ดังนั้นเราต้องดูความต้องการของประชาชนเป็นอันดับแรก การมีส่วนร่วม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าจุดนี้ไม่ผ่าน ทุกอย่างก็จบ”

ครับ ส่วนราชการ จะพัฒนาแหล่งน้ำสร้างระบบชลประทานที่ใด พี่น้องประชาชนสามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นได้ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในโครงการและเกิดประโยชน์ต่อสาธารณมากที่สุด

Let's block ads! (Why?)



"มีส่วนร่วม" - Google News
July 14, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/2DE84Ee

คอลัมน์การเมือง - ชลประทานภาคประชาชน - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"มีส่วนร่วม" - Google News
https://ift.tt/3eCA8Vu

No comments:

Post a Comment